คงไม่มีการพัฒนาใดๆ เกิดขึ้นหากเราคิดว่า “สิ่งนี้ดีแล้ว” ถ้าหากตอนนี้คุณไม่มีความมั่นใจในตนเอง คุณก็ควรจะมีความมั่นใจใน “ตัวคุณในวันพรุ่งนี้” โดยเชื่อมั่นว่าคุณจะสามารถให้การสอนได้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ด้วยการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจากวันนี้ ในฐานะที่เป็นคุณครูคุมอง ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะตระหนักว่าคุณยัง “ไม่สมบูรณ์แบบ” และพยายามปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ
ความสำเร็จหรือการก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เป็นแนวคิดพื้นฐานของระบบการเรียนแบบคุมอง แบบฝึกหัดคุมองพัฒนาประสิทธิผลทางการเรียนด้วยการตัดเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องออก ช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องรวมเนื้อหาทั้งหมดที่หลักสูตรของโรงเรียนครอบคลุมอยู่แล้วไว้ในหลักสูตรของเรา
ลักษณะสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดของระบบการเรียนแบบคุมองคือ การเรียนก้าวหน้าเกินระดับชั้นเรียนที่โรงเรียน ระบบการเรียนแบบคุมองไม่เพียงแต่พัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตร์ ภาษาแม่ และภาษาต่างประเทศให้แก่นักเรียนเท่านั้น แต่พวกเขายังได้สัมผัสกับประสบการณ์และเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการทำแบบฝึกหัดในวิชาเหล่านั้น เด็กๆ จะสามารถพัฒนาความสามารถในการเรียนสิ่งที่พวกเขาต้องการเรียนด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องให้ใครสอน คุมองเป็นระบบการศึกษาหนึ่งที่ช่วยให้นักเรียนสามารถเป็นบุคคลที่พึ่งพาตนเองได้
เราต้องการให้นักเรียนของเราเรียนก้าวหน้าเกินระดับชั้นเรียนที่โรงเรียนและได้สัมผัสประสบการณ์ตรงในการศึกษาเนื้อหาใหม่ผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ระบบการเรียนแบบคุมองอยู่บนพื้นฐานที่ว่า “ความผิดไม่ได้อยู่ที่เด็ก” เราต้องค้นหาศักยภาพของเด็กแต่ละคนและจากนั้นให้พวกเขาได้เรียนในระดับที่ “พอเหมาะพอดี” ไม่เพียงแต่ผู้ปกครองและคุณครูเท่านั้น ที่สำคัญกว่าคือ เด็กๆ จะรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นความก้าวหน้าที่เกินความคาดหวัง และรู้สึกเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง นี่คือสิ่งสำคัญในระบบการเรียนแบบคุมอง
จุดเด่นที่สำคัญของระบบการเรียนแบบคุมองคือ การเรียนในระดับที่ “พอเหมาะพอดี” ผ่านการให้การสอนแบบเฉพาะตัวที่เหมาะสมกับความสามารถของเด็กแต่ละคน ความสามารถของเด็กๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดังนั้นการกำหนดระดับที่ “พอเหมาะพอดี” ในแต่ละขั้นของพัฒนาการของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
หากเด็กๆ ไม่ได้เรียนในระดับที่ “พอเหมาะพอดี” พวกเขาอาจจะเริ่มรู้สึกว่าเป็นความผิดของตนเองที่ทำแบบฝึกหัดไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลลบต่ออนาคตของพวกเขา แต่ถ้าเด็กๆ ได้เรียนในระดับที่ “พอเหมาะพอดี” พวกเขาก็จะพัฒนาความสามารถตามธรรมชาติได้อย่างมีความสุขและก้าวหน้าไปสู่การเรียนในระดับที่สูงขึ้น
มนุษย์ทุกคนมีระดับความสามารถที่แตกต่างกัน ลองยกตัวอย่างห้องเรียนที่มีนักเรียน 40 คน เราจะพบว่านักเรียนมีระดับความสามารถยอดเยี่ยมในเรื่องที่แตกต่างกันจากความสามารถมากที่สุด (อันดับที่ 1) ไปจนถึงความสามารถน้อยที่สุด (อันดับที่ 40) ดังนั้น แทนที่จะใช้วิธีการเดียวกับห้องเรียนที่มีขีดจากัดของชั้นเรียนหรืออายุ เราจะจัดการเรียนการสอนแบบเฉพาะบุคคลที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของนักเรียนแต่ละคน เพราะเราเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสาหรับการพัฒนาความสามารถของนักเรียนทุกคนให้ไปถึงจุดสูงสุด
การที่ไม่ถูกจำกัดด้วยชั้นเรียนทำให้นักเรียนที่มีความสามารถเรียนก้าวหน้าเกินชั้นเรียนที่โรงเรียนไปได้ 2 ปี 3 ปี 4 ปี หรือแม้กระทั่งมากกว่านั้น ในเวลาเดียวกัน สำหรับนักเรียนที่ความสามารถไม่สูง เราจะให้พวกเขาเริ่มต้นเรียนในระดับที่ต่ำกว่าชั้นเรียนปัจจุบันที่โรงเรียน 3 ปี หรือ 4 ปี ซึ่งพวกเขาจะสามารถเรียนทันชั้นเรียนและเรียนเกินระดับชั้นเรียนที่โรงเรียนได้ในไม่ช้า
คุณค่าที่แท้จริงของระบบการเรียนแบบคุมองคือ การปลูกฝังแนวคิดที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งมอบประสบการณ์ในการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างเพียงพอจนเกิดเป็นนิสัย เราจะช่วยให้นักเรียนได้สัมผัสประสบการณ์ความสนุกในการเรียนรู้ด้วยตนเองและเรียนก้าวหน้าไปได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง เราหวังว่าพวกเขาจะยังคงเรียนรู้ด้วยตนเองต่อไปจนกระทั่งเติบโตสู่โลกกว้างและเป็นคนที่ทำสิ่งต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้น